แคนนอน ตอกย้ำความสำเร็จในฐานะผู้นำตลาดพรินเตอร์ของไทยด้วยการประกาศความสำเร็จด้านยอดขายสูงสุดอันดับ 1 ในกลุ่มอิงค์เจ็ทพรินเตอร์ในประเทศไทยต่อเนื่อง 17 ปีซ้อน และยอดขายสูงสุดอันดับ 1 ในกลุ่มผลิตภัณฑ์เลเซอร์พรินเตอร์ทั้งระบบมัลติฟังก์ชั่นและซิงเกิ้ลฟังก์ชั่นในอาเซียน* พร้อมเผยกลยุทธ์เน้นพัฒนา 3 ด้าน ทั้งคุณภาพผลิตภัณฑ์ ช่องทางการขาย และการเข้าถึงลูกค้ากลุ่มผู้บริโภคทั่วไปและองค์กรธุรกิจ เพื่อก้าวสู่ความเป็นผู้นำตลาดพรินเตอร์อิงค์เจ็ท และเลเซอร์พรินเตอร์ต่อเนื่องในอนาคต
เนตรนรินทร์ จันทร์จรัสสุข ผู้ช่วยผู้อำนวยการกลุ่มผลิตภัณฑ์พรินเตอร์ บริษัท แคนนอน มาร์เก็ตติ้ง (ไทยแลนด์)จำกัด กล่าวว่า “ปัจจุบันแคนนอน สามารถครองแชมป์ยอดขายอิงค์เจ็ทพรินเตอร์อันดับ 1 ในประเทศไทยต่อเนื่องถึง 17 ปีซ้อน เฉพาะในปี 2559 ครองส่วนแบ่งตลาดร้อยละ 45 (คิดเป็นซิงเกิ้ลฟังก์ชั่นร้อยละ 66 มัลติฟังก์ชั่นร้อยละ 40) รวมถึงความสำเร็จล่าสุด ที่สามารถครองส่วนแบ่งการตลาดผลิตภัณฑ์เลเซอร์พรินเตอร์ทั้งระบบมัลติฟังก์ชั่นและซิงเกิ้ลฟังก์ชั่นสูงสุดอันดับ 1 ในภูมิภาคอาเซียน รวมสิงค์โปร์ มาเลเซีย ไทย อินโดนีเซีย เวียตนาม และฟิลิปปินส์ อีกด้วย ”
ทั้งนี้ แคนนอน พร้อมบุกตลาดพรินเตอร์เต็มรูปแบบในปี 2560 เริ่มจากการเปิดตัวภาพยนตร์โฆษณาชุดล่าสุด “PIXMA Tank Tempo” เพื่อสร้างการรับรู้เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์พรินเตอร์อิงค์เจ็ทแท็งก์แท้จากโรงงานของแคนนอน รวมถึงพรินเตอร์อิงค์เจ็ทแท็งก์แท้รุ่นใหม่ PIXMA G4000 ชูจุดเด่นด้านประโยชน์ใช้สอยที่หลากหลาย สร้างการจดจำเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์และคุณสมบัติ และสร้างภาพลักษณ์ใหม่ที่ทันสมัยให้กับผลิตภัณฑ์ในกลุ่มพรินเตอร์ กลุ่มเป้าหมายหลักคือ นักเรียนนักศึกษา พนักงานบริษัท และเจ้าของธุรกิจ ที่กำลังมองหาพรินเตอร์ที่คุ้มค่าสำหรับการใช้งาน ทั้งการใช้งานในชีวิตประจำวันและการใช้งานในระดับองค์กร พร้อมกันนี้ได้จัดแคมเปญมอบส่วนลดสูงสุด 17% พร้อมบัตรกำนัลสูงสุด 800 บาทสำหรับพรินเตอร์ PIXMA รุ่นที่ร่วมรายการ รวมทั้งจัดกิจกรรม Canon PIXMA Printer Caravan Roadshow ไปยัง 13 จังหวัดทั่วทุกภูมิภาคของไทย เพื่อนำเสนอผลิตภัณฑ์พรินเตอร์ที่พร้อมตอบโจทย์การใช้งานในทุกกลุ่มเป้าหมาย
สำหรับกลยุทธ์การตลาดเพื่อรักษาความเป็นผู้นำตลาดพรินเตอร์นั้น แคนนอนมุ่งเน้นที่ปัจจัยหลัก 3 ด้าน ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ (Product) ที่มีความหลากหลาย สร้างความพึงพอใจและตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้จริง ต่อมาคือ มุ่งสร้างและรักษาความสัมพันธ์ที่ดีกับพันธมิตร (Partner) ด้านการขาย พร้อมทั้งขยายช่องทางการขยายเพื่อเข้าถึงผู้ใช้งานจริงให้ได้มากยิ่งขึ้น และสาม คือ ผู้บริโภค (Consumer) เน้นการทำความรู้จักและสร้างความใกล้ชิดกับลูกค้า ด้วยกลยุทธ์ “Close To Consumer” ที่นอกจะส่งเสริมการขายแล้ว และให้คำแนะนำลูกค้าในการพรินท์งานในรูปแบบต่างๆ ให้มากขึ้น โดยฐานลูกค้าของแคนนอนส่วนใหญ่เป็นกลุ่ม home use และแคนนอนยังมุ่งขยายตลาดในกลุ่ม B-to-B เช่น SME และสำนักงาน ซึ่งยังมีโอกาสเติบโตอีกมาก เพราะแคนนอนมีผลิตภัณฑ์ทั้งอิงค์เจ็ทและเลเซอร์พรินเตอร์ที่ตอบโจทย์ความต้องการในกลุ่มนี้ได้ และมองว่าถ้าลูกค้าใช้พรินเตอร์แคนนอนที่บ้านและมีความคุ้นเคยกับแบรนด์ เวลาที่ลูกค้าไปทำธุรกิจส่วนตัวก็จะนึกถึงแคนนอนและเลือกสินค้าแคนนอนมาใช้ในธุรกิจของตัวเองด้วย
“จากนี้ไป แคนนอนจะมุ่งมั่นรักษาแชมป์อันดับ 1 ของตลาดทั้งในประเทศไทย และในระดับภูมิภาคเอเชีย โดยจะรักษาความเป็นผู้นำอันดับ 1 ในกลุ่มผลิตภัณฑ์อิงค์เจ็ทพรินเตอร์ของไทยต่อเนื่องเป็นปีที่ 18 พร้อมทั้งเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับแบรนด์ เพื่อครองส่วนแบ่งตลาดอันดับ 1 ในกลุ่มพรินเตอร์ประเภทอื่นๆ ทั้งเลเซอร์พรินเตอร์ เครื่องพิมพ์หน้ากว้าง และเครื่องถ่ายเอกสาร รวมถึงจะพัฒนาโซลูชั่นครบวงจรที่เป็นการทำงานร่วมกันระหว่างกล้องถ่ายภาพ พรินเตอร์ เครื่องถ่ายเอกสาร และอุปกรณ์สำนักงานต่างๆ เพื่อช่วยเพิ่มศักยภาพในการทำงานของคนรุ่นใหม่ และตอบโจทย์การใช้งานของลูกค้าทุกระดับ” เนตรนรินทร์ จันทร์จรัสสุข กล่าวทิ้งท้าย